วันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2551

Process POST (Power-On-Self-Test)

Process POST (Power-On-Self-Test)

>>>>>กระบวนการ power on self test (POST) ของเมนบอร์ด คือ การตรวจสอบความพร้อมของระบบโดยรวมของตัวเมนบอร์ดและอุปกรณ์ที่สำคัญของระบบ ก่อนที่จะทำการ เริ่มระบบปฏิบัติการของคอมพิวเตอร์ ถ้ากระบวนการ power on self test ทำงานได้ไม่สมบูรณ์ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตามจะไม่สามารถเริ่มระบบปฏิบัตการได้ (ระบบปฏิบัติการ หรือ Operatinng system คือส่วนของโปรแกรมระบบ เช่น วินโดว์ ดอส หรือ โอเอสทู ลีนุกส์ เป็นต้น)กระบวนการ Power on self test เรื่มเมือใด?กระบวนการ power on self test จะเริ่มทำงานทันทีทีทำการ เปิดสวิทซ์ ของเครื่องคอมพิวเตอร์ (power on) แล้วจะเริ่มทำการตรวจสอบส่วนประกอบพิ้นฐานสำคัญต่างๆของคอมพิวเตอร์


1. เมื่อเปิดเครื่องกระแสไฟฟ้าจะกระตุ้นให้ซีพียูเริ่มทำงาน โปรแกรมถาวรที่ฝังภายในตัวซีพียูจะเริ่มทำงานโดยการล้างหน่วยความจำภายในซีพียู หรือที่เรียกกันว่า รีจิสเตอร์ (register) ให้ว่างเปล่า จากนั้นกำหนดให้ริจิสเตอร์ตัวหนึ่งที่ชื่อว่าโปรแกรมเคาร์เตอร์มีค่าตำแหน่งเฉพาะค่าหนึ่ง (program counter ทำหน้าที่จดจำหมายเลขหน่วยความจำที่จะทำการดึงคำสั่งโปรแกรมขึ้นมาทำงาน) โดยถ้าเป็นเครื่องรุ่นAT จะเริ่มทำงานที่แอดเดรสหรือตำแหน่งที่เลขฐานสิบหกที่ F000 ซึ่งเป็นตำแหน่งเริ่มต้นของโปรแกรมบูตนั่นเอง ข้อสังเกต เราจะใส่โปรแกรมบูต “ส่วนแรก” ลงในหน่วยความจำถาวรที่เรียกว่า รอม (ROM :Read-Only Memory ) และส่วนที่สองลงในแผ่นดิสก์ที่มีโอเอส ดังนั้นเมื่อปิดเครื่องโปรแกรมก็ยังคงไม่หายไปไหน เมื่อกลับมาเปิดเครื่องใช้ใหม่ ซีพียูก็จะสามารถอ่านโปรแกรมบูตนี้ได้เหมือนเดิม รอมที่ว่านี้อาจเรียกว่า ไบออส (BIOS : Basic Input/Output System) ก็ได้


2. ซีพียูใช้ตำแหน่งแอดเดรสที่อ้างอิงครั้งแรกนี้ เรียกคำสั่งแรกของโปรแกรมบูตของรอมไบออสขึ้นมา ซึ่งเท่ากับเป็นการเริ่มการบวนการ “โพสต์” โดยเริ่มแรกจะเป็นคำสั่งให้ซีพียูทำการตรวจสภาพตัวซีพียูเองว่าสมบูรณ์หรือไม่ จากนั้นโปรแกรมก็จสั่งให้ซีพียูลองย้อนกลับไปตรวจสอบโปรแกรมโพสต์ว่าถูกต้องหรือไม่ โดยการอ่านพื้นที่หลาย ๆ พื้นที่ของโปรแกรมภายในรอม แล้วลองเทียบกับตัวเลขที่ตอนบันทึกไว้ตั้งแต่ตอนเริ่มสร้างรอม

3. ซีพียูส่งสัญญาณไปทั่วระบบบัสเพื่อให้มั่นใจว่าชิ้นส่วนและอุปกรณ์ต่าง ๆ ทำงานได้อย่างสมบูรณ์ busคือ กลุ่มของสายไฟที่ใช้เป็นเส้นส่งถ่ายคำสั่งและข้อมูลระหว่างชิ้นส่วนหรือระหว่างซีพียูกับชิ้นส่วนต่าง ๆหรืออาจกล่าวว่า บัส หมายความว่า วงจรไฟฟ้าเชื่อมชิ้นส่วนที่สำคัญต่าง ๆ เข้าด้วยกัน และทำให้ชิ้นส่วนเหล่านี้สามารถติดต่อสื่อสารระหว่างกันได้ )


4. ซีพียูทำการตรวจว่ามีโปรแกรมภาษาเบสิกอยู่หรือไม่ และสมบูรณ์หรือไม่ จากนั้นจะหันไปทำการตรวจสอบตัวกำเนิดสัญญาณนาฬิการ (timer) ซึ่งบางทีเราจะเรียกว่าคริสตัล (crytal) ทั้งนี้ให้มั่นใจว่าจะทำงานเพรียงกันได้อย่างสมบูรณ์ (ตัวกำเนิดสัญญาณนาฬิกาจะเป็นตัวกำหนด “จังหวะ” การทำงานของชิ้นส่วนต่าง ๆ รวมทั้งตัวซีพียู และเจ้าตัวนี้เองที่มีหน่วยเป็นเมกะเฮิรตซ์ (MHZ) เช่น เครื่อง 486-50 ก็มักหมายความว่าเป็นเครื่องพีซีที่ใช้คริสตัลความเร็ว 50 เมกะเฮิรตซ์ หรือทำงาน 50 ล้านจังหวะต่อวินาทีนั่นเอง )



5. ต่อมากระบวนการ “โพสต์” ก็จะทำการตรวจหน่วยความจำบนการ์ดแสดงผล (Monochrome, EGA,VGA ฯลฯ) และสัญญาณภาพ (video signal) เมื่อพบว่าสมบูรณ์ก็จะนำโปรแกรมไบออสที่อยู่บนการ์ดแสดงผลมาผนึกรวมเป็นส่วนหนึ่งของไบออสระบบและกำหนดคุณสมบัติให้กับหน่วยความจำ ถึงตอนนี้คุณจะเริ่มเห็นอะไรบางอย่างปรากฏที่จอมอนิเตอร์เป็นครั้งแรก


6. โพสต์จะทำการตรวจสอบหน่วยความจำหลักที่อยู่บนเมนบอร์ดซึ่งมักจะเป็นแรม (RAM) การทดสอบทำได้โดยการเขียนข้อมูลลงแรม แล้วทดสอบอ่านกลับดูว่าเหมือนกับข้อมูลที่เขียนลงไปในครั้งแรกหรือไม่ในช่วงนี้เองที่ผู้ใช้จะเห็นตัวเลขวิ่งที่หน้าจอ



7. ซีพียูตรวจว่ามีคีย์บอร์ดเสียบอยู่หรือไม่ และมีใครกดปุ่มคีย์ไหนค้างอยู่



8. โพสต์จะส่งสัญญาณไปยังบัสของดิสก์ไดร์ฟต่าง ๆ และฟังสัญญาณโต้กลับว่าไดร์ฟไหนพร้อมที่จะทำงาน



9. สำหรับเครื่อง AT หรือเครื่องรุ่นใหม่ ๆ กระบวนการโพสต์จะทำการเปรียบเทียบผลการตรวจสอบอุปกรณ์กับข้อมูลที่บันทึกไว้ในซีมอส (CMOS) ถ้าข้อมูลไม่ต้องกับที่โพสต์ตรวจสอบมา โพสต์ก็อาจจะเข้าสู่โปรแกรมเซตอัปเพื่อให้เรากำหนดชนิดของอุปกรณ์ใหม่ (ซีมอสเป็นชนิดของชิปหน่วยความจำ มันสามารถเก็บข้อมูลได้นานตราบเท่าที่เราป้อนไฟเลี้ยงจากแบตเตอรี่ให้) อนึ่ง ข้อมูลภายในซีมอสจะไม่หายไปเมื่อมีการปิดไฟเครื่อง แต่จะหายไปได้ในกรณีที่เราใช้แบตเตอรี่มานาน แล้วแบตเตอรี่ไฟหมด (เครื่องพีซีรุ่น XTจะไม่มีหน่วยความจำซีมอสนี้)


10. บางเครื่องที่มีการใส่อุปกรณ์ที่มีไบออสของมันเอง เช่น การ์ดควบคุมดิสก์ชนิด SCSI (อ่านว่าสกัสซี่)โปรแกรมไบออสของการ์ดหรืออุปกรณ์เหล่านี้จะถูกจดจำและผนวกรวมเป็นส่วนหนึ่งของไบออสระบบ ก่อนที่เครื่องพีซีจะเข้าสู่ขั้นตอนต่อไปในการบูต ซึ่งเป็นการโหลดหรือบรรจุโอเอสจากดิสก์ลงสู่หน่วยความจำ

Boot Up

Start Boot Up


>>>>>เริ่มต้นการทำงานของคอมพิวเตอร์ (Boot up) เมื่อทำการกดสวิทช์ Power On เครื่องคอมพิวเตอร์จะอ่านสิ่งที่ต้องทำมาจาก BIOS (Basic Input Output System) โดย BIOS จะสั่งให้ทำกระบวนการหนึ่งที่เรียกว่า POST(Power On Self Test) กระบวนการนี้ถูกบรรจุในหน่วยความจำ (MEMORY) ของคอมพิวเตอร์ แต่ปัจจุบันมักจะเก็บใน EPROM (Erasable Programmable Read Only Memory) มากกว่า คือเป็นหน่วยความจำที่อ่านอย่างเดียว และไม่ต้องใช้กระแสไฟเลี้ยง แต่สามารถใช้กระแสไฟฟ้าเข้าไปลบ หรือแก้ไขโปรแกรมใน EPROM ได้ เรียกว่าการแฟลช (flash) ROM NOTE: การเริ่มต้นการทำงานของคอมพิวเตอร์ (BOOT UP) แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ Cold Boot ซึ่งเป็นการบูทที่เริ่มต้นจากการกดสวิทช์ Power On ของเครื่องคอมพิวเตอร์ให้คอมพิวเตอร์เริ่มการทำงาน POST และบูทตามลำดับ Warm Boot เป็นการสั่งบูทระบบใหม่ ด้วยการกดปุ่ม Reset หรือการกดปุ่ม Ctrl+Alt+Del หรือการสั่ง Restart เครื่องคอมพิวเตอร์ เรียกได้ว่าเป็นการสั่งบูทด้วยซอฟต์แวร์


เมื่อเปิดเครื่องระบบทดสอบตนเองได้อย่างไรเมื่อเปิดสวิตซ์ไฟเครื่อง




>>>>>ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเป็นเวลาหลายวินาที แต่แท้จริงแล้วเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณกำลังทำงานที่ซับซ้อนจำนวนมาก เพื่อตรวจสอบและทดสอบว่าชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่ประกอบเข้ากับตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ยังสามารถทำงานได้อย่างปกติหรือไม่ และถ้าไม่ เครื่องก็จะเตือนคุณด้วยเสียงหรือตัวอักษรอะไรบางอย่างบนหน้าจอ เป็นต้น กระบวนการนี้เป็นขั้นตอนแรกของเครื่องพีซีที่เรียกว่า บูตอัป (bootup)หรือที่เราเรียกกันง่าย ๆ ว่า “บูต” มาจากคำว่าบูตสแทรปปิ้ง (bootstrapping) หรืออาการเปลี่ยนจากนอนเป็นลุกขึ้นยืนโดยการดึงเชือกรองเท้าบูตของพวกคาวบอย (พวกคาวบอยจะใส่รองเท้าเวลานอน และมักจะตัวหนักเกินกว่าจะลุกขึ้นได้เองโดยลำพัง ส่วนใหญ่จะให้เพื่อนอีกคนส่งมือแล้วดึงลุกขึ้น แต่บางทีไม่มีคนช่วยจึงใช้การดึงเชือกรองเท้าเพื่อยกตัวขึ้นยืนแทน “ด้วยตัวเอง” วิธีการช่วยตัวเองเพื่อลุกขึ้นตั้งสติของพีซีแบบนี้ จึงลอกเลียนคำว่าบูตจากคาวบอยมาด้วยประการเช่นนี้การบูตเป็นสิ่งสำคัญ เพราะในระยะแรกเครื่องพีซีจะทำได้แค่ตรวจอุปกรณ์ที่มาต่อพ่วงกับมัน และทำให้มันมีชีวิตขึ้น ส่วนขั้นตอนการใช้งาน การจัดการ หรือการบริหารอุปกรณ์เหล่านี้ เครื่องพีซีจะโยนให้เป็นภาระของระบบปฏิบัติการหรือโอเอสแทน (หรือดอสนั่นเอง)เอาล่ะ ก่อนที่เราจะพูดถึงกลวิธีการบูตในบทต่อไป ในบทนี้เราสำรวจและศึกษาวิธีการทดสอบตนเองของเครื่องพีซีเมื่อครั้งแรกที่เปิดเครื่องก่อน กระบวนการนี้ฝรั่งจะเรียกว่า “โพสต์” ซึ่งมาจากคำว่า POST (Power-OnSelf-Test )โพสต์เป็นสิ่งแรกที่เครื่องพีซีทำเวลาที่เปิดเครื่องใหม่ ๆ โพสต์จะทำหน้าที่ตรวจสอบอุปกรณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นคีย์บอร์ด ระบบแสดงผล หรืออุปกรณ์พื้นฐานอื่น ๆ มันจะส่งข้อความเตือนหรือเสียงเตือนถ้ามีอะไรที่ผิดพลาด เช่น เสียงปิ๊บ (beep) ครั้งเดียว และหน้าจอแสดงเครื่องหมายดอสพร็อมต์ เช่น เครื่องหมาย C:> เป็นต้น ก็แสดงว่าอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในเครื่องได้ผ่านการทดสอบของโพสต์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว (ในครั้งต่อไปที่พูดถึงเครื่องหมายดอส “พร็อมต์” ผู้เรียบเรียงขอใช้คำว่า “พร้อม” แทน เพราะดูเข้าท่าและสื่อความหมายนัยเดียวกันได้พอเหมาะพอเจาะ) แต่ในกรณีที่เกิดเสียงปิ๊บสั้นและยาวติดต่อกันหรือสลับกัน นั่นแสดงว่าเกิดปัญหาขึ้นแล้วดังแสดงในตาราง

วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2551

เทคโนโลยีที่สนใจ

ASUS XG STATION


สถานีแรงๆ ของความบันเทิงแบบใหม่ เอาใจคนไม่อยู่กับที่ ต้องหิ้วโน้ตบุ๊กไปทำงาน แต่อยากแรงเวลาอยู่บ้าน ไม่ต้องอัพโน้ตบุ๊กให้เปลืองเงิน เพียงแค่ใช้ XG อยากแรงแค่ไหน เดี๋ยวจัดให้ !!!
สวัสดีครับชาวโอเวอร์คล็อกโซนที่รักยิ่งของกระผม วันนี้ผมมีของดีๆ ที่เห็นแว๊บแรกก็อยากเล่นเสียแล้ว มาแนะนำชาวโน้ตบุ๊กกันครับ เพื่อความแรงเต็มพิกัดไม่น้อยหน้า PC ไม่ว่าจะดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกมส์ ก็แรงได้ไม่ต้องยั้ง แถมเลือกแรงได้ตามใจ ใครอยากแรงมากแรงน้อย หรือจะค่อยๆ แรงก็ทำได้ครับ นอกจากแรงแบบแตนๆ แล้ว ยังเลือกแรงตามต้องการกันได้แบบสดๆ อีกด้วย โดยที่เจ้าของสิ่งนี้มีชื่อว่า XG STATION ผลผลิตใหม่จาก ASUS นั่นเองครับ ในช่วงชีวิตหนึ่งของผม ผมเองก็ต้องใช้เจ้าสิ่งที่เรียกว่าโน้ตบุ๊กในการทำงานอยู่เหมือนกัน (ฟังดูไฮโซจัง) ซึ่งผมเองจำเป็นต้องใช้ทั้งในที่ทำงาน และก็ที่บ้าน (ก็ประหยัดไฟ) ซึ่งมันก็ไม่ใช่ของผมหรอกครับ แต่มันเป็นของที่ทางบริษัทแจกมาให้ใช้ ซึ่งผมก็ใช้งานหลายอย่างทั้งการทำงาน และด้านความบันเทิง โดยเฉพาะเอาไว้เล่นเกมส์บ้าง แต่จริงๆ แล้วมันก็ไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นที่บ้านของผมจำเป็นต้องมี PC อีกหนึ่งเครื่อง โดยหลักๆ ก็เอาไว้ดูหนัง และก็เล่นเกมส์เสียเป็นส่วนใหญ่ ส่วนเวลาทำงานก็ใช้โน้ตบุ๊กแทนเพราะประหยัดไฟกว่านั้นเอง ด้วยเหตุนี้เองที่โน้ตบุ๊กธรรมดาทั่วไป ไม่สามารถตอบสนองต่อการใช้งานของคนอย่างผมได้ครบคลุมทุกด้าน ซึ่งนั่นไม่นับรวมโน้ตบุ๊กแบบประสิทธิภาพสูงนะครับ เพราะแบบนั้นจะมีความแรงพอที่จะเล่นเกมส์ได้สบายๆ แต่ก็แลกมาด้วยราคาที่แสนแพง และพอตกยุคก็ไร้ความหมาย จะอัพเกรดก็ทำได้อย่างจำกัด หนทางก็คือต้องซื้อใหม่ หรือไม่ก็ต้องมีเครื่อง PC เอาไว้ประจำบ้านสักเครื่องหนึ่ง แต่วันนี้ผมจะขอนำทุกๆ ท่านมารู้จักอุปกรณ์ชิ้นหนึ่ง ซึ่งถือเป็นนวัฒกรรมใหม่ ที่ออกแบบมาเพื่อชาวโน้ตบุ๊กอย่างแท้จริง เจ้าสิ่งนี้มีชื่อว่า XG STATION ครับ

XG STATION ไม่สามารถเรียกได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่ามันคือ การ์ดจอภายนอกสำหรับโน้ตบุ๊ก เพราะความสามารถของมันมีมากกว่านั้น มันเปรียบได้ดังกับสถานีความบันเทิงสำหรับโน้ตบุ๊กมากกว่า ด้วยความสามารถที่ออกแบบมาให้เป็นได้ทั้งการ์ดกราฟฟิกส์ภายนอก และซาวด์การ์ดภายนอก ด้วยการเชื่อมต่อแบบ PCI-E ซึ่งเป็นมาตรฐานการเชื่อมต่อสำหรับโน้ตบุ๊กในปัจจุบัน ทำให้มันทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม เมื่อนำเจ้าสิ่งนี้มาใช้งาน ก็เปรียบเสมือนว่าโน้ตบุ๊กของเรานั้นทำหน้าที่เป็น CPU เท่านั้นเอง ส่วนจอภาพ ลำโพง คีย์บอร์ด เมาส์ ก็จะสามารถต่อจาก XG STATION ได้โดยตรงเลยครับ

World's First Multimedia Docking Station for Ultimate Mobility and Performance >>>>
ครั้งแรกของโลกกับชุดเชื่อมต่อภายนอกสำหรับโน้ตบุ๊กเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับทุกการทำงาน โดยไม่ต้องอัพเกรดเพิ่ม ด้วยการออกแบบที่ชาญฉลาดทำให้สามารถเชื่อมต่อได้ง่ายดาย ด้วยพอร์ต PCI-E ซึ่งเป็นสล็อตมาตรฐานสำหรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ภายนอกในรูปแบบการ์ด ส่งผ่านข้อมูลด้วยความเร็วสูง นอกเหนื่อจากประสิทธิภาพการทำงานที่ล้ำหน้า ยังมาพร้อมกับรูปทรงที่สวยงาม ฟังก์ชั่นการใช้งานที่ครอบคลุม ใช้งานง่ายไม่ยุ่งยาก

ชุดเพิ่มประสิทธิภาพในรูปแบบ DOCK STATION >>>>
การออกแบบที่ลำหน้า บวกกับดีไซน์ที่แตกต่างทำให้ได้ประโยชน์การใช้งานสูงสุดบนพื้นที่ใช้สอยที่จำกัด ด้วยการออกแบบตัวเครื่องในรูปทรง 3 เหลี่ยม แบบตัว V กลับหัว ช่วยให้มีมุมมองแปลกใหม่ แต่ใช้งานได้อย่างลงตัวทุกมุมมอง ตัวเครื่องผลิตมาจากอลูมิเนียมที่ผ่านกระบวนการตัดและพับขึ้นรูปมาอย่างดี จึงมีความแข็งแรงทนทาน พื้นผิวผ่านการเคลือบด้วยสีดำเงา ขัดเงาจนเงางาม น่าใช้งานมากๆ


แรงด้วย GF 8600GT >>>>
เพื่อความสะดวกในการใช้งาน ภายใน XG STATION จึงได้ทำการติดตั้งการ์ดจอรุ่น GF 8600GT ของ ASUS มาให้แล้ว ถ้านับรุ่น 8600 GT แล้วก็น่าจะเป็นการ์ดจอในระดับกลางๆ ที่มีราคาไม่แพงมาก มีระดับความสามารถในการใช้งานที่ดีเยี่ยมอีกตัวหนึ่ง แม้จะไม่ใช่การ์ดระดับเทพ แต่ก็สามารถนำมาใช้เล่นเกมส์ใหม่ๆ ได้เป็นอย่างดี ตัวการ์ดออกแบบได้สวยงาม โดดเด่นด้วยซิงค์ระบายความร้อนสีทองสวยงาม เมื่ออยู่ภายใน XG STATION แล้ว ก็จะมาองเห็นซิงค์ระบายความร้อนจากภายนอกได้ น่าเสียดายที่พัดลมไม่มีไฟติดไว้ ไม่อย่างนั้นคงจะสวยงามมากกว่านี้อย่างแน่นอน ส่วนตัวการ์ดมีพอร์ต DVI จำนวน 2 พอร์ตไว้ใช้ให้งานตามต้องการ





LCD สวยหรู ควบคุมทุกฟังก์ชั่น >>>>
จุดเด่นที่สุดของ XG ที่นอกจากรูปทรงอันแปลกตาแล้ว ยังมีจอ LCD ขนาดใหญ่ ที่แสดงผลการทำงานต่างๆ ใน XG ไม่ว่าจะเป็นระดับความเร็วของ GPU อุณหภูมิ การทำงานของพัดลม ระดับเสียง และค่า FPS จอแสดงผลขนาดใหญ่นี้เป็นจอแบบฟูลเออเรสเซนต์ที่ปกติเรามักจะเห็นเป็นจอของเครื่องเสียงแบบมินิคอมโป ซึ่งมีความสวยงาม แสดงผลด้วยสีสัน เพิ่มความสวยงาม ส่วนการควบคุมการทำงานจะใช้ลูกบิดด้านซ้ายมือ ซึ่งที่ออกแบบมาเข้ากับตัวเครื่อง โดยลูกบิดนี้เราจะใช้ควบคุมการทำงานของฟังก์ชั่นต่างๆ ที่ใช้งานได้อย่างสะดวก

โปร่งโล่งสบาย ตัวไม่ร้อน >>>>
ด้านหลังของตัวเครื่องถูกออกแบบได้สวยงาม ไม่แพ้ด้านหน้าเครื่องเลย มีโลโก้ ASUS GAMMING ติดไว้ที่ด้านนี้ บริเวณช่องระบายความร้อนช่องเล็กด้วย อีกส่วนหนึ่งเป็นช่องระบายความร้อนขนาดใหญ่ ที่ตรงกับซิงค์ระบายความร้อนของการ์ดจอที่นำมาใช้พอดี ช่องขนาดใหญ่ที่หุ้มด้วยตะแกรงช่องเล็กๆ นี้ จะช่วยในการระบายอากาศภายในตัวเครื่องให้ไหลเวียนอยู่ตลอดเวลา จะช่วยให้การระบายความร้อนออกจากการ์ดจอมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเพื่อช่วยให้อากาศไหลดีขึ้น จึงมีการติดตั้งพัดลมขนาดเล็กเพื่อช่วยในการระบายอากาศอีกด้วย ส่วน ใครที่ใช้การ์ดจอสวยๆ ละก็ จะสามารถมองเห็นตัวการ์ดผ่านทางช่องนี้ได้ จะทำให้ XG มีความสวยงามมากขึ้น

เชื่อมต่อสะดวกด้วยการ์ด EXPRESS CARD HOLDER >>>>
ในการเชื่อมต่อกับโน้ตบุ๊กจะใช้การเชื่อมต่อผ่านทางสล็อต PCI EXPRESS โดยใช้เจ้าอุปกรณ์ที่เรียกว่า Express Card Holder ซึ่งมีลักษณะเป็นการ์ด PCI EXPRESS ที่สามารถใช้ได้ทั้งกับสล็อตขนาด 34 mm และ 54 mm ครับ ที่ตัวการ์ดนี้จะมีชุดเชื่อมต่อกับสายต่อ EXPRESS CABLE และมีไฟ LED แสดงการทำงาน 2 ดวง โดนจะแสดงการเชื่อมต่อเข้ากับโน้ตบุ๊กว่าพร้อมทำงานแล้ว และอีกหนึ่งดวงแสดงการเชื่อมต่อกับ XG STATION



อุปกรณ์เสริมครบถ้วน ใช้งานได้สะดวก >>>>
นอกจากอุปกรณ์ 2 ชิ้นที่กล่าวถึงไปแล้ว ยังมีอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้งานเพิ่มเติม ซึ่งมีมาให้ในกล่องเรียบร้อยแล้วก็คือ สายเคเบิล EXPRESS 1 เส้น ซึ่งเอาไว้เชื่อมต่อระหว่างการ์ดกับ XG STATION นั่นเองครับ

อุปกรณ์หน้าตาแปลกๆ ที่มีมาให้ในกล่องด้วยก็คือ ฐานรองแนวตั้งที่เราสามารถวาง XG STATION ในแนวตั้งเพื่อประหยัดพื้นที่ได้ โดยที่ยังคงมีความมั่นคงแข็งแรง และจอแสดงผลยังสามารถกลับมาแสดงในแนวตั้งได้ด้วย
หม้อแปลงไฟขนาดเล็กหรือจะเรียกให้มันหรูๆ หน่อยก็คือะอแด๊ปเตอร์จ่ายไฟนั่นเองครับ โดยตัว XG STATION นั้นต้องการไฟมาใช้งานด้วย จึงจำเป็นต้องจ่ายไฟให้เค้าด้วย ไม่นั้นเค้าไม่ทำงานนะตัวเอง ประมาณนั้นครับ ส่วนที่เหลือก็เป็นแผ่นไดร์เวอร์และคู่มือการใช้งาน แต่คู่มือการใช้งานแบบละเอียดจะอยู่ใน CD และเป็นไฟล์ PDF



วันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2551

สัตว์วิเศษ


กรินดี้โลว์ (Grindylow)
กรินดี้โลว์เป็นปีศาจน้ำตัวสีเขียวซีดและมีเขา พบได้ตามทะเลสาบทั่วอังกฤษและไอร์แลนด์ กินปลาตัวเล็กๆเป็นอาหาร กรินดี้โลว์ดุร้ายกับพ่อมดและมักเกิ้ลพอๆกัน แต่ชาวเงือกจะทำให้กรินดี้โลว์เชื่องได้ กรินดี้โลว์มีนิ้วยาวมาก ซึ่งแม้จะใช้ยึดจับอะไรได้เหนียวแน่นแต่ก็หักได้อย่างง่ายดาย
กริฟฟิน (Griffin)
กริฟฟินมีกำเนิดในประเทศกรีซ ขาคู่หน้าและหัวเป็นนกอินทรียักษ์ ลำตัวและขาคู่หลังเป็นสิงโต พ่อมดมักให้กริฟฟินคอยเฝ้าสมบัติ เช่นเดียวกับสฟิงซ์ แม้ว่ากริฟฟินจะดุร้าย แต่พ่อมดที่เก่งกาจจำนวนหนึ่งก็สามารถปราบมันได้ กริฟฟินกินเนื้อดิบๆเป็นอาหาร
กลัมบัมเบิ้ล (Glumbumble)
กลัมบัมเบิ้ลพบได้ในแถบยุโรปตอนเหนือ เป็นแมลงบินได้ ตัวสีเทา ขนปุกปุย มันจะผลิตน้ำหวานที่มีสรรพคุณช่วยลดความเศร้าสร้อยได้ น้ำหวานนี้ใช้เป็นยาแก้โรคประสาทที่เกิดจากการกินใบอลิฮอทซี่เข้าไป บางครั้งกลัมบัมเบิ้ลอาจบุกเข้าไปอยู่ในรังผึ้ง ทำให้น้ำผึ้งมีสรรพคุณแปลกๆ กลัมบัมเบิ้ลทำรังอยู่ตามที่มืดๆ และห่างไกลจากผู้คน เช่นตามโพรงต้นไม้และถ้ำ มันกินต้นเน็ทเทิลเป็นอาหาร
กัปปะ (Kappa)
กัปปะเป็นปีศาจน้ำญี่ปุ่น อาศัยอยู่ตามบ่อน้ำตื้นๆและแม่น้ำ คนมักจะมองว่ากัปปะคล้ายลิง แต่มีเกล็ดปลาอยู่ตามตัวแทนที่จะเป็นขน มันมีแอ่งเว้าใส่น้ำอยู่กลางกระหม่อม กัปปะกินเลือดมนุษย์ แต่ถ้าโยนแตงกวาที่สลักชื่อคนให้มัน กัปปะก็จะไม่ทำร้ายคนๆนั้น เมื่อเผชิญหน้ากับกัปปะ พ่อมดควรล่อหลอกให้มันโค้งตัวลงซึ่งจะทำให้น้ำที่อยู่บนหัวหกลงมา แล้วกัปปะก็จะสูญสิ้นเรี่ยงแรงทั้งหมด


แกรปฮอร์น (Graphorn)
ตัวแกรปฮอร์นพบได้ตามบริเวณที่เป็นภูเขาในยุโรป ร่างกายใหญ่โต ผิวสีม่วงเทา หลังค่อม มีเขายาวและแหลมคมมากสองเขา เท้าใหญ่โตมีนิ้วข้างละสี่นิ้ว และมีนิสัยดุร้ายตามธรรมชาติ บางครั้งอาจเห็นโทรลล์ภูเขาขี่หลังตัวแกรปฮอร์น แต่ฝ่ายหลังจะไม่ค่อยชอบใจนักที่มีผู้พยายามทำให้มันเชื่อง จึงเป็นเรื่องปกติที่จะเห็นโทรลล์มีบาดแผลเต็มตัวจากฝีมือของแกรปฮอร์น เขาของแกรปฮอร์นที่บดเป็นผงแล้วใช้ปรุงยาได้หลายชนิด แต่ก็มีราคาแพงลิบเพราะได้มาอย่างยากลำบาก หนังของแกรปฮอร์นเหนียวยิ่งกว่าหนังของมังกร และป้องกันเวทมนตร์คาถาส่วนใหญ่ได้

ครัป (Crup)
ครัปมีต้นกำเนิดอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของอังกฤษ รูปร่างคล้ายคลึงกับสุนัขพันธุ์แจ็ก รัสเซลล์ เทอร์เรียร์มาก ยกเว้นที่หางซึ่งเป็นง่ามๆ ครัปแทบจะเรียกได้ว่าเป็นสุนัขของพ่อมดโดยแท้ เพราะมันซื่อสัตย์ต่อพ่อมดมากและดุร้ายต่อมักเกิ้ลที่สุด ครัปเป็นนักเขมือบตัวยง มันกินทุกอย่างตั้งแต่ตัวโนมไปถึงยางรถยนต์เก่าๆ พ่อมดอาจขอใบอนุญาติเลี้ยงครัปได้จากกองออกระเบียบและควบคุมสัตว์วิเศษ โดยต้องผ่านการทดสอบง่ายๆ เพื่อพิสูจน์ว่าผู้ขอสามารถควบคุบดูแลครัปได้ในบริเวณที่มีมักเกิ้ลอาศัยอยู่ เจ้าของครัปมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องกำจัดหางของมันด้วยคาถาตัดที่ไม่ทำให้เกิดความเจ็บปวดเมื่อครัปมีอายุได้หกถึงแปดสัปดาห์ เพื่อไม่ให้พวกมักเกิ้ลสังเกตเห็น

ควินทาเพ็ด (Quintaped) (มีอีกชื่อว่า แฮรี่ แมคบูน (Hairy MacBoon))
ควินทาเพ็ดเป็นสัตว์กินเนื้อที่อันตรายมากชื่นชอบเนื้อมนุษย์เป็นพิเศษ ร่างกายที่เตี้ยม่อต้อของมันและขาทั้งห้าข้างล้วนมีขนสีน้ำตาลแดงขึ้นอยู่ดกหนา ขาแต่ละข้างมีเท้าบิดผิดรูป ควินทาเพ็ดพบได้เฉพาะที่เกาะเดรียร์ซึ่งอยู่นอกแหลมตอนเหนือสุดของสกอตแลนด์ ด้วยเหตุนี้ เกาะเดรียร์จึงถูกทำให้ไม่ปรากฏในแผนที่ มีตำนานว่า ครั้งหนึ่งบนเกาะเดรียร์เคยมีครอบครัวพ่อมดอาศัยอยู่สองครอบครัว คือตระกูลแมคคลีเวอร์ท และตระกูลแมคบูน การดวลด้วยความเมามายระหว่างดูกอลด์ ประมุขตระกูลแมคคลีเวอร์ท กับควินเทียส ประมุขตระกูลแมคบูน คาดว่าสิ้นสุดลงด้วยความตายของดูกอลด์ ตำนานเล่าว่าเพื่อเป็นการแก้แค้น กลุ่มพ่อมดตระกูลแมคคลีเวอร์ทได้เข้าล้อมบ้านตระกูลแมคบูนในคืนหนึ่ง แล้วสาปให้ตระกูลแมคบูนทุกคนกลายร่างเป็นสัตว์ใหญ่ห้าขา แต่พวกแมคคลีเวอร์ทก็รู้ตัวช้าไปเสียแล้ว ว่าตระกูลแมคบูนที่แปลงร่างแล้วนั้นอันตรายมากกว่าเดิมเสียอีก(ตระกูลแมคบูนมีชื่อเสียงในการใช้เวทมนตร์อย่างไม่เหมาะสม)ยิ่งกว่านั้นตระกูลแมคบูนเองก็ยังต่อต้านความพยายามใดๆที่จะเปลี่ยนพวกเขากลับเป็นมนุษย์ แล้วก็ฆ่าตระกูลแมคคลีเวอร์ททุกคนจนไม่เหลือมนุษย์บนเกาะนั้นเลย ตอนนั้นเองที่พวกแมคบูนรู้ตัวว่า เมื่อไม่เหลือใครที่ใช้ไม้กายสิทธิ์ได้ พวกตนก็ต้องอยู่ในร่างสัตว์ตลอดไป นิทานเรื่องนี้จะจริงหรือไม่ ไม่มีใครรู้ ไม่มีคนตระกูลแมคคลีเวอร์ทหรือแมคบูนรอดชีวิตมาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับบรรพบุรุษของพวกเขาให้เราฟัง ตัวควินทาเพ็ดเองก็พูดไม่ได้ และจะต่อต้านอย่างแข็งขันต่อความพยายามทุกอย่างของกองออกระเบียบและควบคุมสัตว์วิเศษที่จะจับตัวมันมาลองเสกให้กลับเป็นมนุษย์ ดังนั้นเราจึงจำต้องยอมรับว่า ถ้าควินทาเพ็ดเป็นอย่างชื่อเล่นของมัน คือ แฮรี่ แมคบูนหรือแมคบูนขนดกจริงๆละก็ พวกมันก็คงอยากใช้ชีวิตเป็นสัตว์ต่อไปนั้นเอง


เคลปี้ (Kelpie)
ปีศาจน้ำแห่งอังกฤษและไอร์แลนด์ชนิดนี้สามารถเปลี่ยนร่างได้หลายแบบ ส่วนมากจะแปลงเป็นม้า และใช้ต้นกกทำเป็นขนแผงคอ เคลปี้จะล่อหลอกให้คนมาขี่หลัง แล้วก็จะดำลงไปก้นแม่น้ำหรือทะเลสาบทันที จากนั้นมันก็จะกินเหยื่อแล้วปล่อยให้ตับไตไส้พุงลอยสู่ผิวน้ำวิธีที่ถูกต้องในการปราบเคลปี้ก็คือ คล้องบังเหียนรอบหัวของมัน แล้วร่ายคาถายึดแน่น ซึ่งจะทำให้เคลปี้สงบและไม่ดุร้ายอีกต่อไป เคลปี้ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ในทะเลสาบล็อกเนส ประเทศสกอตแลนด์ รูปร่างที่มันชอบคือ งูทะเล ผู้สังเกตการณ์จากสมาพันธ์พ่อมดนานาชาติรู้ตัวว่าไม่ได้เผชิญหน้ากับงูทะเลจริงๆ ก็ตอนเห็นมันเปลี่ยนร่างเป็นนากเมื่อคณะมักเกิ้ลนักสำรวจเข้าใกล้ และพอปลอดคนก็เปลี่ยนกลับเป็นงูทะเลใหม่อีกครั้ง

วันเสาร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2551

LinuxกับUnix






ประวัติของ Linux



==> ลินุกซ์ (Linux) และรู้จักในชื่อ กนู/ลินุกซ์ (GNU/Linux) คือระบบปฏิบัติการที่นิยมตัวหนึ่งในฐานะซอฟต์แวร์เสรี และซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ส ลินุกซ์มีลักษณะคล้ายระบบปฏิบัติการยูนิกซ์ โดยมีลินุกซ์ เคอร์เนล เป็นศูนย์กลางทำงานร่วมกับไลบรารีและเครื่องมืออื่น ลินุกซ์นิยมจำหน่ายหรือแจกฟรีในลักษณะเป็นแพคเกจ โดยผู้จัดทำจะรวมซอฟต์แวร์สำหรับใช้งานในด้านอื่นเป็นชุดเข้าด้วยกันเริ่ม แรกของของลินุกซ์พัฒนาและใช้งานในเฉพาะกลุ่มผู้ที่สนใจ ซึ่งในปัจจุบันลินุกซ์ได้รับความนิยมเนื่องมาจากระบบการทำงานที่เป็นอิสระ ปลอดภัย เชื่อถือได้ และราคาต่ำ จึงได้มีการพัฒนาจากองค์กรต่าง ๆ เช่น ไอบีเอ็ม ฮิวเลตต์-แพกการ์ด และ โนเวลล์ ใช้สำหรับในระบบเซิร์ฟเวอร์และพีซี เริ่มแรกลินุกซ์พัฒนาสำหรับใช้กับเครื่อง อินเทล 386 ไมโครโพรเซสเซอร์ หลังจากที่ได้รับความนิยมปัจจุบัน ลินุกซ์ได้พัฒนารับรองการใช้งานของระบบสถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์ในระบบต่าง ๆ รวมถึงในโทรศัพท์มือถือ และกล้องวีดีโอลินุกซ์มีสัญญาอนุญาตแบบ GPL ซึ่งเป็นสัญญาอนุญาตที่กำหนดให้ผู้ที่นำโค้ดไปใช้ต้องใช้สัญญาอนุญาตแบบเดิม ต่อคือใช้สัญญาอนุญาต GPL เช่นเดียวกัน ซึ่งลักษณะสัญญาอนุญาตแบบนี้เรียกว่า copyleft
ผู้พัฒนาลีนุกซ์คนแรก

==> ผู้เริ่มพัฒนาลินุกซ์เป็นคนแรก คือ ลินุส โตร์วัลดส์ (Linus Torvalds) ชาวฟินแลนด์ เมื่อสมัยที่เขายังเป็นนักศึกษาคอมพิวเตอร์ ที่มหาวิทยาลัยเฮลซิงกิ ปี พ.ศ. 2526 ริชาร์ด สตอลแมน (Richard Stallman) ได้ก่อตั้งโครงการกนูขึ้น จุดมุ่งหมายโครงการกนู คือ ต้องการพัฒนาระบบปฏิบัติการคล้ายยูนิกซ์ที่เป็นซอฟต์แวร์เสรีทั้งระบบ ราวช่วงพ.ศ. 2533 โครงการกนูมีส่วนโปรแกรมที่จำเป็นสำหรับระบบปฏิบัติการเกือบครบทั้งหมด ได้แก่ คลังโปรแกรม คอมไพเลอร์ โปรแกรมแก้ไขข้อความ และเปลือกระบบยูนิกซ์ ซึ่งขาดแต่เพียงเคอร์เนลเท่านั้น ในพ.ศ. 2533 โครงการกนูได้พัฒนาเคอร์เนลชื่อ Hurd เพื่อใช้ในระบบกนูซึ่งในขณะนั้นมีปัญหาเกี่ยวกับความเร็วในการประมวลผลในพ.ศ. 2534 โตร์วัลดส์เริ่มโครงการพัฒนาเคอร์เนล ขณะศึกษาในมหาวิทยาลัยแล้ว โดยอาศัย Minix ซึ่งเป็นระบบที่คล้ายกับ Unix ซึ่งมากับหนังสือเรื่องการออกแบบระบบปฏิบัติการ มาเป็นเป็นต้นแบบในการเขียนขึ้นมาใหม่โดย Torvalds เขาพัฒนาโดยใช้ IA-32 assembler และภาษาซี คอมไพล์เป็นไฟล์ไบนารี่และบูทจากแผ่นฟลอปปี้ดิสก์ เขาได้พัฒนามาเรื่อยๆจนกระทั่งสามารถบูทตัวเองได้ (กล่าวคือสามารถคอมไพล์ภายในลินุกซ์ได้เลย) และในปัจจุบันมีนักพัฒนาจากพันกว่าคนทั่วโลกได้เข้ามามีส่วนรวมในการพัฒนา โครงการ Eric S. Raymond ได้ศีกษากระบวนการพัฒนาดังกล่าวและเขียนบทความเรื่อง The Cathedral and the Bazaarในรุ่น 0.01 นี้ถือว่ามีเครื่องมือที่เพียงพอสำหรับระบบ POSIX ที่ใช้เรียก ลินุกซ์ ที่รันกับ กนู Bash Shell และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและอย่างรวดเร็วโตร์วัลดส์ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาระบบต่อไป ซึ่งต่อมาก็สามารถรันบน X Window System และมีการเลือกนกเพนกวินที่ชื่อ Tux ให้เป็นตัวนำโชคหรือ Mascot ของระบบลินุกซ์
การติดตั้ง==> การติดตั้งโดยทั่วไป จะติดตั้งผ่านซีดีที่มีโปรแกรมบรรจุอยู่ในแผ่นซึ่งแผ่นซีดีนั้นสามารถหามาได้หลายวิธี เช่นสามารถเบิร์นได้จาก ISO image ที่ดาวน์โหลดจากอินเทอร์เน็ต หรือสามารถหาซื้อซีดีได้ในราคาถูกโดยอาจจะซื้อรวมหรือแยกพร้อมกับคู่มือ เนื่องจากสัญญาอนุญาตของโปรแกรมเป็นแบบ GPL ลินุกซ์จากผู้จัดทำบางตัวเช่น เดเบียน สามารถติดตั้งได้จากโปรแกรมขนาดเล็กผ่านฟลอปปีดิสก์ ซึ่งเมื่อติดตั้งส่วนหนึ่งสำเร็จ ตัวโปรแกรมของมันเองจะดาวน์โหลดส่วนอื่นเพิ่มขึ้นมาผ่านทางอินเทอร์เน็ต หรือสำหรับบางตัวเช่นอูบุนตุ สามารถทำงานได้ผ่านซีดีโดยติดตั้งในแรมในช่วงที่เปิดเครื่องการทำงานของลินุกซ์สามารถติดตั้งได้ในเครื่องเซิร์ฟเวอร์หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีสมรรถนะสูง จนถึงเครื่องที่สมรรถนะต่ำ ที่ไม่มีฮาร์ดไดรฟ์หรือมีแรมน้อยโดยทำงานเป็นเครื่องไคลเอนต์โดยที่เครื่องไคลเอนต์ สามารถบูตและเรียกใช้งานโปรแกรมต่างๆผ่านทางเน็ตเวิร์กจากเครื่องเทอร์มินอลเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งวิธีการนี้ยังคงช่วยให้ประหยัดเวลาในการติดตั้งโปรแกรม เพราะติดตั้งเพียงเครื่องเดียวที่เทอร์มินอลเซิร์ฟเวอร์ รวมถึงราคาของเครื่องไคลเอนต์ที่ไม่จำเป็นต้องมีสมรรถภาพสูงซึ่งมีราคา ถูกกว่าเครื่องทั่วไป
การใช้งาน==> การใช้งานดั้งเดิมของลินุกซ์ คือ ใช้เป็นระบบปฏิบัติการสำหรับเครื่องเซิร์ฟเวอร์ แต่จากราคาที่ต่ำ ความยืดหยุ่น พื้นฐานจากยูนิกซ์ ทำให้ลินุกซ์เหมาะกับงานหลาย ๆ ประเภทลิ นุกซ์ ถือเป็นส่วนสำคัญของซอฟต์แวร์เซิร์ฟเวอร์ที่เรียกว่า LAMP ย่อมาจาก Linux, Apache, MySQL, Perl/PHP/Python ซึ่งเป็นที่นิยมใช้เป็นเว็บเซิร์ฟเวอร์ และพบมากสุดระบบหนึ่ง ตัวอย่างซอฟต์แวร์ซึ่งพัฒนาสำหรับระบบนี้คือ มีเดียวิกิ ซอฟต์แวร์สำหรับวิกิพีเดียเนื่องจากราคาที่ต่ำและการปรับแต่งได้หลากหลาย ลินุกซ์ถูกนำมาใช้ในระบบฝังตัว เช่นเครื่องรับสัญญาณโทรทัศน์ โทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์พกพาต่าง ๆ ลินุกซ์เป็นคู่แข่งที่สำคัญของ ซิมเบียนโอเอส ซึ่งใช้ในโทรศัพท์มือถือจำนวนมาก และใช้แทนวินโดวส์ซีอี และปาล์มโอเอส บนเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา เครื่องบันทึกวีดิโอก็ใช้ลินุกซ์ที่ดัดแปลงเป็นพิเศษ ไฟร์วอลล์และเราเตอร์หลายรุ่น เช่นของ Linksys ใช้ลินุกซ์และขีดความสามารถเรื่องทางเครือข่ายของมันระยะหลังมีการใช้ลินุกซ์เป็นระบบปฏิบัติการของซูเปอร์คอมพิวเตอร์มาก ขึ้น ในรายชื่อซูเปอร์คอมพิวเตอร์ TOP500 ของเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2548 เครื่องซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่เร็วที่สุดสองอันดับแรกใช้ลินุกซ์ และจาก 500 ระบบ มีถึง 371 ระบบ (คิดเป็น 74.2%) ให้ลินุกซ์แบบใดแบบหนึ่งเครื่องเล่นเกม โซนี่ เพลย์สเตชัน 3 ที่ออกในปี พ.ศ. 2549 รันลินุกซ์ โซนียังได้ปล่อย PS2 Linux สำหรับใช้กับเพลย์สเตชัน 2 อีกด้วย ผู้พัฒนาเกมอย่าง Atari และ id Software ก็เคยออกซอฟต์แวร์เกมบนลินุกซ์มาแล้ว



Unix

==> ยูนิกซ์ (Unix แต่ชื่อตามเครื่องหมายการค้าคือ UNIX) เป็นระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์แบบหลายงาน หลายผู้ใช้ ที่เริ่มพัฒนาโดยกลุ่มพนักงานของห้องปฏิบัติการ AT&T Bell Labs โดยกลุ่มนักพัฒนาที่เป็นที่รู้จัก คือ Ken Thompson, Dennis Ritchie และ Douglas McIlroy
ความเป็นมาของ Unix
==> ในทศวรรษที่ 60 สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) , AT&T Bell Labs และบริษัท General Electric ได้ร่วมมือกันวิจัยระบบปฏิบัติการที่ชื่อว่า Multics (ย่อมาจาก Multiplexed Information and Computing Service) โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อทำงานบนเครื่องเมนเฟรมรุ่น GE-645 แต่ภายหลัง AT&T ได้ถอนตัวออกจากโครงการนี้Ken Thompson ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมพัฒนาในขณะนั้น ได้เขียนเกมบนเครื่อง GE-645 ชื่อว่าเกม Space Travel และพบปัญหาว่าเกมทำงานได้ช้ากว่าที่ควร เขาจึงย้ายมาเขียนเกมใหม่บนเครื่อง PDP-7 ของบริษัท DEC แทนด้วยภาษาแอสเซมบลี โดยความช่วยเหลือของ Dennis Ritchie ประสบการณ์เหล่านี้ทำให้ Thompson หันมาพัฒนาระบบปฏิบัติการบนเครื่อง PDP-7ระบบ ปฏิบัติการนี้มีชื่อว่า UNICS ย่อมาจาก Uniplexed Information and Computing System เนื่องจากว่าการออกเสียงสามารถสะกดได้หลายแบบ และพบปัญหาชื่อใกล้เคียงกับ Multics ภายหลังจึงเปลี่ยนชื่อเป็น Unixการ พัฒนายูนิกซ์ในช่วงนี้ยังไม่ได้รับความสนับสนุนด้านการเงินจาก Bell Labs เมื่อระบบพัฒนามากขึ้น Thompson และ Ritchie จึงสัญญาว่าจะเพิ่มความสามารถในการประมวลผลคำ (Word Processing) บนเครื่อง PDP-11/20 และเริ่มได้รับการตอบรับจาก Bell Labs ในปีค.ศ. 1970 ระบบปฏิบัติการยูนิกซ์จึงได้รับการเรียกชื่ออย่างเป็นทางการ โปรแกรมประมวลผลคำมีชื่อว่า roff และหนังสือ UNIX Programmer's Manual ตีพิมพ์ครั้งแรกวันที่ 3 พฤศจิกายน ค.ศ. 1971ค.ศ. 1973 ได้เขียนยูนิกซ์ขึ้นมาใหม่ด้วยภาษาซี ทำให้สะดวกต่อการนำยูนิกซ์ไปทำงานบนเครื่องชนิดอื่นมากขึ้น ทาง AT&T ได้เผยแพร่ยูนิกซ์ไปยังมหาวิทยาลัย และหน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาล โดยสัญญาการใช้งานเปิดเผยซอร์สโค้ด ยกเว้นเคอร์เนลส่วนที่เขียนด้วยภาษาแอสเซมบลียูนิกซ์เวอร์ชัน 4,5 และ 6 ออกในค.ศ. 1975 ได้เพิ่มคุณสมบัติ pipe เข้ามา ยูนิกซ์เวอร์ชัน 7 ซึ่งเป็นเวอร์ชันสุดท้ายที่พัฒนาแบบการวิจัย ออกในค.ศ. 1979 ยูนิกซ์เวอร์ชัน 8,9 และ 10 ออกมาในภายหลังในทศวรรษที่ 80 ในวงจำกัดเฉพาะมหาวิทยาลัยบางแห่งเท่านั้น และเป็นต้นกำเนิดของระบบปฏิบัติการ Plan 9ค.ศ. 1982 AT&T นำยูนิกซ์ 7 มาพัฒนาและออกขายในชื่อ Unix System III แต่บริษัทลูกของ AT&T ชื่อว่า Western Electric ยังคงนำยูนิกซ์รุ่นเก่ามาขายอยู่เช่นกัน เพื่อยุติความสับสนทางด้านชื่อ AT&T จึงรวมการพัฒนาทั้งหมดจากบริษัทและมหาวิทยาลัยต่างๆใน Unix System V ซึ่งมีโปรแกรมอย่าง vi ที่พัฒนาโดย Berkeley Software Distribution (BSD) จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ รวมอยู่ด้วย ยูนิกซ์รุ่นนี้สามารถทำงานได้บนเครื่อง VAX ของบริษัท DECยูนิกซ์ รุ่นที่เป็นการค้าไม่เปิดเผยซอร์สโค้ดอีกต่อไป ทางมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ จึงพัฒนายูนิกซ์ของตัวเองต่อเพื่อเป็นทางเลือกกับ System V การพัฒนาที่สำคัญที่สุดคือเพิ่มการสนับสนุนโพรโทคอลสำหรับเครือข่าย TCP/IP เข้ามาบริษัท อื่นๆ เริ่มพัฒนายูนิกซ์บนเครื่องคอมพิวเตอร์ระบบของตนเอง โดยส่วนมากใช้ยูนิกซ์ที่ซื้อสัญญามาจาก System V แต่บางบริษัทเลือกพัฒนาจาก BSD แทน หนึ่งในทีมพัฒนาของ BSD คือ Bill Joy มีส่วนในการสร้าง SunOS (ปัจจุบันคือ โซลาริส) ของบริษัทซัน ไมโครซิสเต็มส์ค.ศ. 1981 ทีมพัฒนา BSD ได้ออกจากมหาวิทยาลัยและก่อตั้งบริษัท Berkeley Software Design, Inc (BSDI) เป็นบริษัทแรกที่นำ BSD มาขายในเชิงการค้า ในภายหลังเป็นต้นกำเนิดของระบบปฏิบัติการ FreeBSD, OpenBSD และ NetBSDAT&T ยังคงพัฒนาความสามารถต่างๆ เข้าสู่ยูนิกซ์ System V และรวมเอา Xenix (ยูนิกซ์ของบริษัทไมโครซอฟท์SunOS เข้า) , BSD และ มารวมใน System V Release 4 (SVR4) เพื่อเป็นผลิตภัณฑ์หนึ่งเดียวสำหรับลูกค้า ซึ่งเพิ่มราคาขึ้นอีกมากหลังจากนั้นไม่นาน AT&T ขายสิทธิ์ในการถือครองยูนิกซ์ให้กับบริษัทโนเวลล์ และโนเวลเองได้สร้างยูนิกซ์ของตัวเองที่ชื่อ UnixWare ซึ่งพัฒนามาจากระบบปฏิบัติการ NetWare เพื่อแข่งกับระบบปฏิบัติการวินโดวส์เอ็นทีของไมโครซอฟท์ค.ศ. 1995 โนเวลขายส่วนต่างๆ ของยูนิกซ์ให้กับบริษัท Santa Cruz Operation (SCO) โดยโนเวลยังถือลิขสิทธิ์ของยูนิกซ์ไว้ ค.ศ. 2000 SCO ขายสิทธิ์ส่วนของตนเองให้กับบริษัท Caldera ซึ่งเปลี่ยนชื่อภายหลังเป็น SCO Group ซึ่งเป็นสาเหตุในการดำเนินคดีละเมิดลิขสิทธิ์กับลินุกซ์

วันอังคารที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2551

ยูนิคอน(Unicorn)

ยูนิคอร์นเป็นสัตว์วิเศษที่มีถิ่งกำเนิดในยุโรป มีลักษณะคล้ายกับม้าที่มีเขา (Horn) อยู่บนหน้าผาก อาจจะมีขนาดใหญ่เท่ากับม้า หรือใหญ่กว่า ยูนิคอร์นส่วนใหญ่จะมีลำตัวสีขาว แผงคอสีแดงเข้ม หรือขาวปลอดตลอดตัว สีสรรของสัตว์ชนิดนี้นั้น มีไปตั้งแต่ สีขาว น้ำตาลแดง ไปจนถึงสีเงิน ขึ้นอยู่กับเผ่าพันธุ์และถิ่นที่อยู่ โดยมากจะมีดวงตาสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำ บ้างอาจมีสีฟ้าคราม หรืออาจเป็นสี ม่วงเข้มได้ทั้งสิ้น เขาของยูนิคอร์นนั้นมีความยาวประมาณครึ่ง ถึง 1 ฟุต และมีหางเหมือนกับหางของสิงโต พลินี่ได้กล่าวเอาไว้ในรายงานของเขาเกี่ยวกับยูนิคอร์นสายพันธุ์หนึ่งเอาไว้ว่า "ยูนิคอร์นเป็นหนึ่งในบรรดาสัตว์ประหลาดที่ดุร้ายน่ากลัว โดยทั่วไปแล้วจะคงอยู่ในร่างของม้า หรือกวาง มีเท้าเหมือนกับช้าง มีหางเหมือนหมูป่าหรือกวางชอบกู่เสียงร้อง และมีเขาเดี่ยวสีดำที่มีความยาวถึง 2 ศอกบนหน้าผาก" ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วมีความเป็นไปได้ที่ทำให้ยูนิคอร์นถูกล่า ด้วยวัตถุประสงค์เดียวเพื่อผลกำไรขากเขาของมัน ด้วยความเป็นสัตว์ที่รักความบริสุทธิ์ผ่องใส ทำให้ลักล่ามักใช้หญิงสาวบริสุทธิ์เป็นเหยื่อเพื่อล่อพวกมันออกมา ซึ่งหากมีสาวพรหมจรรย์อยู่ในอาณาบริเวณนั้นจะสามารถดึงดูให้สัตว์ที่สวยงามตนนี้ออกมาได้ สิ่งที่พวกมันชอบทำคือการล้มตัวลงนอนข้างๆ โดยวางศีรษะที่มีเขาของมันนั้นบนตักของหญิงสาวและหลับไป ในช่วงเวลานี้นี่เองที่นักล่าและเหล่านายพรานจะฉวยโอกาศจับตัวยูนิคอร์นเอาไว้ได้อายุไขของยูนิคอร์นนั้นสามารถอยู่ได้เป็นหลายร้อย หรือบางทีก็หลายพันปี หายยูนิคอร์นตัวนั้นไม่ได้ถูกรบกวนจากอำนาจมืดและสิ่งชั่วร้ายนักสัตววิทยาที่ศึกษาเกี่ยวกับเทวะตำนานที่เกี่ยวข้องกับยูนิคอร์นนี้เชื่อว่า ยูนิคอร์นนั้นเป็นสัตว์สัญลักษณ์ของเทพ Foiros เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ อันแสดงถึงความน่าพิศวงอันไม่เหมือนใครของยูนิคอร์นและความบริสุทธิ์ของสัตว์ชนิดนี้ด้วยความบริสุทธิ์อันเป็นธรรมชาติของสัตว์ชนิดนี้ ทำให้ยูนิคอร์นนั้นมีอำนาจทางด้านเวทย์มนต์สูงเผ่าพันธุ์หนึ่งเลยก็ว่าได้ อำนาจของยูนิคอร์นนั้นอยู่ในธาตุแสง ซึ่งอำนาจเวทย์มนต์ทั้งหมดของมันจะถูกเก็บเอาไว้ในเขาอันแสนสำคัญของมัน มีอำนาจในการขับไล่อำนาจมืดและสิ่งชั่วร้ายทั้งปวงให้ออกไปได้เมื่อมันรู้ตัว เพื่อป้องกันตัวเอง ดังนั้นเขาของยูนิคอร์นที่เปรี่ยมด้วยอำนาจเวทย์มนต์นั้นจึงเป็นที่ต้องการมากธรรมชาติของยูนิคอร์นค่อนข้างเป็นสัตว์ที่มีความอ่อนไหวต่อบรรยากาศรอบตัว ขี้ตื่นตกใจ และมักหวาดระแวง ทำให้ยากที่จะพบเห็นสัตว์ชนิดนี้ตามป่าเขาที่มีคนสัญจรผ่าน และเพราะเป็นสัตว์ที่มีอำนาจเวทย์มนต์ ยูนิคอร์นจะไม่ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนแปลก ทำให้ยูนิคอร์นถูกมองว่าเป็นสัตว์ที่เย่อหยิ่ง
ด้วยสรรพคุณที่ใกล้เคียงกันเป็นอันมาก เขาของปลาวาฬนาร์ หรือ นาร์เวลล์นั้นก็ถูกจัดกลุ่มอยู่ในตัวยากลุ่มเดียวกันกับอาลิคอร์น มีคนบางคนได้บอกเล่าอย่างเกินจริง (รึเปล่า) เอาไว้ว่าได้ติดตาม ปลาวาฬนาร์พันธุ์เขาเดียว (the Indian Rhinoceros) ในแถบมหาสมุทธอินเดียขณะท่องเที่ยวนี่เองอาจเป็นอีกหนึ่งที่มาของตำนานยูนิคอร์นลักษณะบางอย่างของยูนิคอร์นเช่น เขาเดี่ยวบนกลางหน้าผากนั้น กลายมามีความหมายมากมายในช่วงยุคกลางเมื่อประกอบกันเข้ากับสัญลักษ์ต่างๆ ยกตัวอย่างง่ายๆเช่น จิตวิญญาณของธนู รังสีของดวงอาทิตย์ ดาบแห่งเพทเจ้า และศาสน์จากพระเจ้าเป็นต้น ในระหว่างยุคกลางนี้ ยูนิคอร์นถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจ ความสง่างาม และความบริสุทธิ์ ยูนิคอร์นมักจะถูกเข้าใจผิดกับสัวต์วิเศษในอีกเผ่าพันธุ์หนึ่งของทางเอเซียที่มีชื่อว่า กิเลน ซึ่งมีเขาหนึ่งเขาบนกลางหน้าผากเช่นเดียวกัน ในเทวะตำนานมากมายได้กล่าวเอาไว้ถึงยูนิคอร์นว่าได้สูญพันธุ์ลงไปในยุคสมัยของโนอาร์

วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2551

สายพันธุ์มังกรในแฮร์รี่ พอตเตอร์

มังกรพันธุ์ต่างๆ
มังกรอาจจะเป็นสัตว์ที่มีชื่อเสียงที่สุดก็ว่าได้ และก็เป็นสัตว์จำพวกที่ปกปิด จากสาตามักเกิ้ลยากที่สุดด้วย มังกรตัวเมียส่วนมากจะมีขนาด ใหญ่กว่าและ ดุร้ายกว่าตัวผู้ แต่ไม่ว่าจะเป็นมังกรเพศไหนก็ไม่ควรเข้าใกล้ ยกเว้นพ่อมด ที่เก่งกาจและได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีเท่านั้น หนัง เลือด หัวใจ ตับ และเขามังกร ส้วนมีคุณสมบัติทางเวทย์มนต์สูง แต่ไข่มังกรก็จัดอยู่ในสินค้าห้ามซื้อขาย มังกรมี อยู่สิบสายพันธุ์ที่หายากแต่บางครั้งก็มีการผสมข้ามพันธุ์ที่หายากขึ้นมาได้ มังกรสายพันธุ์แท้มีดังต่อไปนี้




1.จีนลูกไฟ (chinese fireball) เป็นมังกรเอเชียเพียงพันธุ์เดียว และมีรูปร่างที่แปลกแตกต่างจากพันธุ์อื่น ๆ เกล็ดเรียบสีม่วง รอบใบหน้าที่สั้นและย่นมีระบายรรีบสีทองล้อมประดับไว้ดวงตาโปนโต เปลวไฟรูปร่างคล้ายดอกเห็ดที่มันพ่นออกมาในยามโกรธเป็นที่มาของชื่อพันธุ์ลูกไฟ น้ำหนักอยู่ระหว่าง2-4ตัน ตัวเมียจะใหญ่กว่าตัวผู้ ไข่เป็นสีทับทิมสดมีจุดสีทองเปลือกไข่มีค่าเพระนำไปใช้ประกอบเวทย์มนต์แบบจีนได้พันธุ์ลูกไฟมีนิสัยดุร้าย แต่มีความอดทนต่อมังกรสายพันธุ์เดียวกันสูงมากกว่ามังกรส่วนใหญ่ บางครั้งถึงกับยอมใช้อาณาเขตร่วมกันตัวอื่นถึง2ตัวพันธุ์จีนลูกไฟกินสัตว์เลี้ยงลูก ด้วยนมเป็นหลัก แม้ว่าจะชอบกินหมูหรือมนุษย์มากกว่าก็ตาม

2.นอร์เวย์หลังเป็นสัน (Norwegian Ridgeback) นอร์เวย์หลังเป็นสันมีความคล้ายคลึงกันมังกรพันธุ์ฮังการีหางหนามในหลาย ๆ ด้าน แต่แทนที่จะมีหนามแหลมที่หาง มันจะมีสันสีดำสนิทยื่นออกมาจากหลังแทน พันธุ์หลังเป็นสันจะดุร้ายกับพันธุ์เดียวกันมากเป็นพิเศษทุกวันนี้มันจัดเป็นหนึ่ง ในสายพันธุ์มังกรที่หายากขึ้นทุกที มันเคยโจมตีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อาศัยอยู่บนดินมาแล้ว แทบทุกชนิดและที่ต่างจากมังกรทั่วไปคือ มันกินสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในน้ำด้วย รายงานที่ปราศจากหลักฐานระบุว่า มังกรพันธุ์นี้เคยโฉบเอาลูกปลาวาฬไปจากชายหาดแห่งหนึ่งในนอร์เวย์เมื่อปี ค.ศ.1802 ไข่ของพันธุ์หลังเป็นสันแฮร์รี่ พอตเตอร์ กับ นักโทษแห่งอัสคาบันมีสีดำ และตัวอ่อนจะพัฒนาความสามารถในการพ่นไฟได้เร็วกว่าพันธุ์อื่น (ระหว่างหนึ่งถึงสามเดือนเท่านั้น)


3.เพรูเวียน ไวเปอร์ทูท (Peruvian Vipertooth) หรือเปรูเขี้ยวพิษ เป็นมังกรพันธุ์เล็กที่สุด และบินได้เร็วที่สุด ความยาวอยู่ราว ๆ สิบห้าฟุต เกล็ดเรียบสีทองแดง และมีสันสีดำ เขาสั้น เขี้ยวมีพิษร้ายแรง พันธุ์เขี้ยวพิษโปรดปรานแพะและวัวแต่ก็ชื่นชอบรสเนื้อมนุษย์ด้วย จนสมาพันธ์พ่อมดนานาชาติจำเป็นต้องส่งผู้ควบคุมไปลดประมาณของ พันธุ์เขี้ยวพิษเมื่อปลายศตวรรษที่ 19 ก่อนหน้านั้นปริมาณของมักรนี้ ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ

4.ยูเครเนียน ไอรอนเบลลี (Ukrainian Ironbelly)หรือยูเครนกระเพาะเหล็ก เป็นมังกรพันธุ์ใหญ่ที่สุด น้ำหนักมากที่สุดถึง 6ตัน ตัวกลมป้อม บินได้ช้ากว่าพันธุ์เขี้ยวพิษและพันธุ์โรมาเนียเขายาว อย่างไรก็ตาม พันธุ์กระเพาะเหล็กมีอันตรายมากมันทำลายให้บ้านเรือนเรียบเป็นหน้ากลองได้ เกล็ดสีเทาเป็นมัน ตาสีแดงเข้ม กรงเล็บยาวและแหลมคมมาก มังกรพันธุ์กระเพาะเหล็กถูกเจ้าหน้าที่พ่อมดยูเครนจับตาดูอย่างใกล้ชิด นับตั้งแต่มีตัวหนึ่งโฉบไปหิ้วเรือใบ (โชคดีที่ว่างเปล่า) ที่ทะเลดำในปี ค.ศ.1799

5.โรมาเนียน ลองฮอร์น (Romanian Longhorn) หรือโรมาเนียเขายาว มีเกล็ดสีเขียวดำเขาสีทองเป็นประกาย ซึ่งมันจะใช้เสียบเหยื่อย่างไฟของเขามันเมื่อเอาไปป่นเป็นผงแล้วมีค่ามาก ใช้เป็นเครื่องปรุงยาได้ ปัจจุบันนี้ดินแดนแหล่งกำเนิดของพันธุ์โรมาเนียเขายาว ได้กลายเป็นเขตอนุรักษ์พันธุ์มังกรที่สำคัญที่สุดในโลก ซึ่งพ่อมดทุกสัญขาติ ได้ศึกษามังกรพันธุ์ต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด พันธุ์เขายาวถูกจัดอยู่ในโครงการ เพาะพันธุ์เร่งด่วนด้วย เนื่องจากจำนวนของมันลดต่ำลงในช่วงสองสามปีที่ ผ่านมาส่วนใหญ่เป็นเพราะการซื้อขายเขาของมัน ซึ่งปัจจุบันจัดเป็นสินค้าซื้อขายได้



6.เวลส์สีเขียวธรรมดา (Common Welsh Green) พันธุ์เวลส์สีเขียวนั้นสีกลมกลืนกับหญ้าเขียวสดที่บ้านเกิดของพวกมันเป็นอย่างดี มักจะทำรังอยู่บนภูเขาสูง ซึ่งกำหนดไว้เป้นเขตอนุรักษ์เพื่อให้มันอยู่อาศัยถ้าไม่นับเหตุการณ์ที่อิลฟราคอมบ์ สายพันธุ์นี้ก็จัดอยู่ในประเภทที่สร้างปัญหาน้อยที่สุด มันชอบกินแกะเป็นอาหาร และจะหลีกเลี่ยงจากมนุษย์ ยกเว้นเมื่อถูกรบกวน พันธุ์เวลส์สีเขียวมีเสียงคำรามที่สูง ๆ ต่ำ ๆ เหมือนดนตรีอย่างน่าประหลาด และเป็นเสียงที่จดจำได้ง่าย มันจะพ่นไฟเป็นลำบาง ๆ ไข่เป็นสีน้ำตาลหม่น ๆ มีจุดสีเขียว




7.สวีเดนจมูกสั้น (Swedish Short-Snout) เป็นมังกรสีฟ้าเหลือบเงินแสนสวย คนมักเอาหนังของมันมาทำถุงมือและโล่ เปลวไฟที่พ่นออกมาเป็นสีฟ้าใส ซึ่งเผาผลาญไม้และ กระดูกเป็นเถ้าถ่าน ได้ภายในไม่กี่วินาที พันธุ์จมูกสั้นฆ่ามนุษย์น้อยกว่ามังกรส่วนใหญ่ มันมักอาศัยอยู่ตามป่าและบริเวณภูเขาที่ไม่ทีคนอาศัยอยู่ จึงไม่มีวีรกรรมมากนัก

8.แอนตี้โพเดี้ยน โอเพิลอาย (Antipodean Opaleye) หรือแอนติโพเดี้ยนตาสีรุ้ง มีถิ่นกำเนิดในนิวซีแลนด์ แต่ต่อมาก็อพยพไปอยู่ออสเตรเลียเนื่องจากที่อยู่ในบ้านเกิดเริ่มจำกัด อาศัยอยู่ในหุบเขามากกว่าตามภูเขา ซึ่งแตกต่างจากมังกรทั่ว มังกรพันธุ์นี้มีขนาดกลาง(น้ำหนักระหว่าง 2-3 ตัน) ตาสีรุ้งอาจจะเป็นมังกรพันธุ์ที่สวยงามที่สุดก็เป็นได้ มีเกล็ดมันวาวสีเหลืองรุ้ง และมีดวงตาหลากสีประกายปราศจากม่านตา ซึ่งเป็นที่มาของชื่อพันธุ์ มังกรพันธุ์นี้จะพ่นไฟสีม่วงเจิดจ้า ตามมาตรฐานมังกรถือว่าไม่ดุร้ายนัก ส่วนมากถ้าไม่หิวก็จะไม่ฆ่า อาหารโปรดคือแกะ แต่ก็เคยล่าเหยื่อที่ใหญ่กว่านั้น การฆ่าจิงโจ้ครั้งใหญ่ตอนปลายทศตวรรษที่ 1970 เป็นฝีมือของพันธุ์สีรุ้งตัวผู้ที่ถูกตัวเมียซึ่งมีอิทธิพลมากกว่าไล่ออกจากบ้าน ไข่ขสองมันสีเทาซีดและมักเกิ้ลที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวมักเข้าใจผิดว่าเป็นฟอสซิล









9.ฮังการีหางหนาม (Hungarian Horntail) คาดว่าดุร้ายที่สุดในบรรดามังกรทุกสายพันธุ์ พันธุ์ฮังการีหางหนาม มีเกล็ดสีดำ และรูปร่างคล้ายกิ้งก่า ตาสีเหลือง เขาสีบรอนซ์ และตลอดหางอันยาว เหยียดของมัน ก็มีหนามแหลมสีบรอนซ์เช่นเดียวกัน พันธุ์หางหนามพ่นไฟได้ไกลที่สุด (ไกลสุดถึง 15 ฟุต) ไข่สีเทาเหมือนสีเมนต์และเปลือกแข็งมากตัวอ่อนจะเจาะเปลือกไข่ ออกมาโดยใช้หาง ซึ่งมีหนามแหลมติดตัวมาตั้งแต่เกิด พันธุ์ฮังการีหางหนามกินแพะ แกะ และถ้าเป็นไปได้ก็จะกินมนุษย์เป็นอาหาร




10.เฮบริเดี้ยนสีดำ (Hebridean Black) มังกรท้องถิ่นของอังกฤษอีกสายพันธุ์หนึ่งซึ่งดุร้ายกว่าพันธุ์ เวลส์สีเขียวเพื่อนร่วมถิ่นมาก พันธุ์เฮบริเดี้ยนสีดำใช้พื้นที่อยู่อาศัยถึง 100 ตารางไมล์ต่อ1 ตัว มันยาวได้ถึก 30 ฟุต เกล็ดไม่เรียบตาสีม่วงสุกใส และ มีสันเตี้ย ๆ แต่คมกริบเรียงเป็นแถวตลอดแนวหลัง ปลายหางมีหนามใหญ่ลักษณะเหมือนลูกศรและมีปีกเหมือนค้างคาวเฮบริเดี้ยน สีดำกินกวางเป็นอาหารหลัก แต่ก็เคยบินโฉบเอาสุนัขตัวใหญ่หรือแม้แต่แม่วัวไปกิน ตระกูลพ่อมดแมกฟัสดี้ที่มีถิ่นพำนักอู่ในเฮบริดีซมานับศตวรรษรับหน้าที่ดูแล ควบคุมมังกรประจำถิ่นพันธุ์นี้เรื่อยมาจนเป็นประเพณี